หน้าร้อน ไม่น่ารัก! 6 วิธีดูแลตัวเองเมื่ออากาศร้อนจัด
หลายวันมานี้ใครที่ได้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสภาพอากาศในบ้านเรา โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร คงได้ทราบถึงการออกมาประกาศเตือนประชาชนเกี่ยวกับ ค่าดัชนีความร้อน (Heat Index) ซึ่งอยู่ใน ''ระดับอันตราย'' โดยมีค่าดัชนีความร้อนอยู่ที่ 42.0-51.9 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนในระดับดังกล่าวมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน อาทิ อาการอ่อนเพลียจากแดด, อาการตะคริว, ภาวะขาดน้ำ รวมถึงอาจรุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะฮีทสโตรก เป็นต้น
"เมื่อหน้าร้อนไม่น่ารัก" กับสุขภาพของเรา สหประกันชีวิต จึงได้รวบรวมวิธีรับมือกับอากาศร้อนจัดในช่วงนี้มาแนะนำให้กับทุกท่าน เพื่อนำไปปรับใช้ในการดูแลตัวเองและคนที่รักให้ปลอดภัย จะมีวิธีใดบ้าง ไปติดตามพร้อมกันเลย
การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงอากาศร้อน เพราะร่างกายสูญเสียน้ำผ่านเหงื่อมากกว่าปกติ ควรจิบน้ำเป็นประจำตลอดวัน ไม่ควรรอจนกระหายน้ำจึงดื่ม เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายเริ่มขาดน้ำแล้ว ที่สำคัญเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ แอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มน้ำตาลสูง
2. เลือกเสื้อผ้าสีอ่อนและเหมาะสม
เลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน น้ำหนักเบา เนื้อผ้าโปร่งที่ช่วยระบายอากาศได้ดีและสวมใส่ได้สบาย ควรหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าสีเข้มและรัดรูปในช่วงอากาศร้อน
3. หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด
ลดการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลา 11.00-15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงที่สุด หากจำเป็นต้องออกนอกอาคาร ควรการร่ม สวมหมวก แว่นกันแดด และทาครีมกันแดดเมื่อต้องออกที่แจ้ง
4. รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
เลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง เช่น ผักสดผลไม้ และซุปใส ลดการบริโภคอาหารทอดหรืออาหารไขมันสูง เนื่องจากอาหารเหล่านี้เพิ่มความร้อนให้กับร่างกายในกระบวนการย่อย
5. มีอุปกรณ์ช่วยคลายร้อนติดตัว
พกพาอุปกรณ์ช่วยคลายร้อน เช่น สเปรย์น้ำแร่ พัดลมมือถือ หรือผ้าเย็นเพื่อช่วยลดอุณหภูมิร่างกายเมื่อจำเป็น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยบรรเทาความร้อนได้อย่างรวดเร็ว
6. หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกาย
เฝ้าระวังอาการบ่งชี้ของภาวะเจ็บป่วยจากความร้อน เช่น อาการหน้ามืด,เวียนศีรษะ, คลื่นไส้, อ่อนเพลียผิดปกติ เป็นต้น หากมีอาการเหล่านี้ ควรหยุดพักในที่ร่ม ดื่มน้ และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว สำหรับผู้มีโรคประจำตัวควรเตรียมยาหรืออุปกรณ์จำเป็นให้พร้อม
ด้วยความห่วงใย จาก สหประกันชีวิต
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร, THE STANDARD LIFE, ONE NEWS