ก่อนสิ้นปี “ให้ประกัน” ช่วยลดหย่อนภาษีคุณ

โอกาสช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นปีในการวางแผนความมั่นคงทางการเงินควบคู่ไปกับการประหยัดภาษี
ก่อนสิ้นปีนี้ โค้ซวินอินชัวร์ มาเตือน และ มาเชิญชวนทุกท่านทำประกันเพื่อผลทางการลดหย่อนภาษีประจำปี ชีวิตท่านก็จะดี๊ดีไปหมดทุกอย่าง...
เมื่อใกล้สิ้นปีปฏิทิน สิ่งที่ผู้มีเงินได้พึงประเมินทุกท่านต้องดำเนินการคือการทบทวนสถานะทางการเงินและการวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภัณฑ์ประกันภัยมิได้เป็นเพียงเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงในชีวิตเท่านั้น แต่ยังถูกกำหนดให้เป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการออมระยะยาวและความมั่นคงทางสังคม ผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลมอบให้
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้แจงรายละเอียดและแนวทางการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันภัยประเภทต่าง ๆ อย่างเป็นทางการและเข้าใจง่าย เพื่อให้ทุกท่านสามารถใช้สิทธิประโยชน์นี้ได้อย่างเต็มที่ก่อนสิ้นสุดปีภาษี
- ประกันชีวิต: เสาหลักแห่งการลดหย่อนภาษี (The Cornerstone)
ตามกฎหมายภาษีของประเทศไทย เบี้ยประกันชีวิตถือเป็นรายการลดหย่อนที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากมีวงเงินที่สูงและเงื่อนไขที่ไม่ซับซ้อนสำหรับการเริ่มต้น
1.1 ประกันชีวิตทั่วไปและเงื่อนไขสำคัญ
ผู้มีเงินได้สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายไปมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อปี โดยมีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องพิจารณา ดังนี้:
1. ความคุ้มครองระยะยาว: กรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาความคุ้มครอง ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
2. ผลตอบแทน: ต้องมีการกำหนดจำนวนเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดไว้แน่นอน (เช่น การจ่ายเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา หรือเงินสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต)
3. การจ่ายเงินคืน: หากมีการจ่ายเงินคืนรายปี (เงินปันผล/เงินคืน) ระหว่างสัญญา จำนวนเงินคืนรวมต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมทั้งหมด
4. ผู้รับผลประโยชน์: การทำประกันให้แก่คู่สมรสที่ไม่มีเงินได้ สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท (โดยเบี้ยที่จ่ายต้องเป็นเบี้ยประกันชีวิตเท่านั้น ไม่รวมเบี้ยประกันสุขภาพ)
1.2 การวางแผนกลยุทธ์สำหรับเบี้ย 100,000 บาท สำหรับผู้มีเงินได้ที่อยู่ในฐานภาษีสูง การใช้สิทธิลดหย่อน 100,000 บาทนี้อย่างเต็มที่สามารถช่วยประหยัดภาษีได้สูงสุดถึง 35,000 บาทต่อปี ดังนั้น การพิจารณาเลือกแบบประกันที่ให้ผลตอบแทนหรือความคุ้มครองที่เหมาะสมกับช่วงชีวิต ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญกว่าการมองเพียงสิทธิลดหย่อนเท่านั้น
2. ประกันบำนาญ: การออมเพื่อวัยเกษียณควบคู่การประหยัดภาษี ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance) ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือออมเงินสำหรับวัยเกษียณโดยเฉพาะ จึงได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมแยกต่างหากจากประกันชีวิตทั่วไป
2.1 วงเงินและเงื่อนไขเฉพาะของประกันบำนาญ
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมกับเงินออมเพื่อการเกษียณประเภทอื่น (เช่น RMF, PVD/SSF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ต่อปี โดยมีเงื่อนไขของประกันบำนาญมีดังนี้:
1. ความคุ้มครอง: ต้องมีการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ เมื่อผู้เอาประกันภัยมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป
2. ระยะเวลาการจ่ายบำนาญ: ต้องกำหนดระยะเวลาการจ่ายบำนาญ ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
3. ระยะเวลาการทำประกัน: ต้องทำประกันภัยและมีการจ่ายเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 5 ปี
3. ประกันสุขภาพ: การลดหย่อนที่เชื่อมโยงกับการดูแลสุขภาพ
นอกเหนือจากประกันชีวิตเพื่อความมั่นคงทางการเงินแล้ว เบี้ยประกันที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการบริหารภาระภาษีเช่นกัน
3.1 ประกันสุขภาพสำหรับตนเอง เบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายให้กับบริษัทประกันภัย
สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท ต่อปี โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นเบี้ยที่จ่ายสำหรับ:
1. การประกันสุขภาพผู้มีเงินได้
2. การประกันอุบัติเหตุที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
3. การประกันภัยโรคร้ายแรง (Critical Illness)
ข้อควรทราบ: วงเงินลดหย่อน 25,000 บาทนี้ เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท
3.2 ประกันสุขภาพบิดามารดา รัฐบาลยังได้ให้สิทธิลดหย่อนสำหรับผู้ที่ดูแลบิดาหรือมารดา โดยเบี้ยประกันสุขภาพที่จ่ายให้บิดาหรือมารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส สามารถนำมาลดหย่อนได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท ต่อปี โดยมีเงื่อนไขดังนี้:
1. บิดาหรือมารดาต้องมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอใช้สิทธิ ไม่เกิน 30,000 บาท
2. ผู้มีเงินได้ต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย
3. ในกรณีที่บุตรหลายคนร่วมกันจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ ให้เฉลี่ยแบ่งกันลดหย่อน
4. กลยุทธ์การวางแผนภาษีช่วงสิ้นปี (Year-End Strategy) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากประกันภัย ควรพิจารณาดำเนินการดังนี้:
1. ตรวจสอบวงเงินคงเหลือ: ทบทวนรายการลดหย่อนที่ใช้ไปแล้ว (เช่น ดอกเบี้ยบ้าน, กองทุนรวม) เพื่อคำนวณวงเงินลดหย่อนประกันภัยที่เหลืออยู่
2. คำนวณฐานภาษี: ผู้ที่อยู่ในฐานภาษีสูง (ตั้งแต่ 20% ขึ้นไป) จะได้รับผลประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันในอัตราที่สูงกว่า
3. พิจารณาความคุ้มครองที่จำเป็น: เน้นเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการความคุ้มครองในปัจจุบันและเป้าหมายการออมในอนาคตเป็นหลัก สิทธิลดหย่อนเป็นเพียง "ผลพลอยได้" ที่คุ้มค่า
คำเตือน: การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันภัยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ผู้เอาประกันภัยควรตรวจสอบเงื่อนไขความคุ้มครองและระยะเวลาของกรมธรรม์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
โค้ซวินอินชัวร์: เชื่อมั่นว่าการทำประกันจะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยวางแผนทางภาษีของท่านได้ เมื่อร่วมกับมาตรการลดหย่อนทางภาษิอื่น ๆ ของภาครัฐแล้วประโยชน์ก็จะเกิดกับตัวท่านทุก ๆ คน เลยนะครับ
แหล่งอ้างอิงและข้อมูล
การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นไปตามประมวลรัษฎากรและประกาศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีภาษี ผู้มีเงินได้ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการ
1. กรมสรรพากร. ประมวลรัษฎากร มาตรา 42 ทวิ. ว่าด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172 และ ฉบับที่ 383). ว่าด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเบี้ยประกันชีวิตและเงินออมเพื่อการเลี้ยงชีพ
2. สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ข้อมูลสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันภัย. (สำหรับการอ้างอิงข้อมูลผลิตภัณฑ์และการกำกับดูแล)


